เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังเทศน์นะ ตั้งใจฟังเทศน์ เทศน์คือคำสอน คำสอนให้รู้จักตัวเราเอง การรู้จักตัวเราเอง รู้จิตใจของเราเอง รู้จักขั้วหัวใจ รู้จัก เห็นไหม รู้จักธรรม

 

เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราก็อยากได้คุณธรรม แล้วธรรมมันอยู่ไหนล่ะ ในตำราหรือ ตำราก็กระดาษเปื้อนหมึก ในที่ครูบาอาจารย์สอน ครูบาอาจารย์ก็ขี้โม้ สอนไม่เป็น มีแต่คาดเดา มีแต่คาดหมาย ไม่มีความจริง ถ้าจะมีความจริงๆ พระโพธิสัตว์ๆ

 

เราเห็นคนเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิ ดูสัตว์เดรัจฉาน ดูสุนัขสิ ดูหมู เห็ด เป็ด ไก่ใช่ไหม พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นะ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในอบายภูมิ เวลาเกิดต่างๆ นี่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว พระโพธิสัตว์ไม่เกิดต่ำกว่านกกระจาบ

 

นี่ไง เวลาพระในสมัยพุทธกาล เวลาธุดงค์ไป ญาติเขาฝากผ้ามา พอได้ผ้ามาแล้วมารื้อออก รื้อออกแล้วมาปั่นใหม่ ปั่นใหม่แล้วมาทอ ทอแล้วมาตัดเย็บจีวร นี่มันภูมิใจ คืนนี้จะได้ใช้จีวรใหม่ คืนนั้นเป็นโรคปัจจุบันทันด่วนตาย ตายไปเกิดเป็นเล็น นี่พระพุทธเจ้าพูดเอง ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น

 

ในวินัย ผ้านั้นถ้าไปเกิดกับสงฆ์ สงฆ์นั้นตายไป ไม่ได้มอบไว้ให้กับใคร จะเกิดเป็นของสงฆ์ ให้สงฆ์แจกกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาห้ามไว้นะ อย่าเพิ่งแจกๆ พระที่ตายไปมาเกิดเป็นเล็นอยู่ในนี้ เขาเป็นเล็นอยู่นี่ มันมีความสุขมาก ติดพันไง แล้วถ้าไปแจกนะ เล็นตัวนั้นจะโกรธมาก เพราะถือว่าของกูๆๆ ใครให้มันจะโกรธมาก อย่าเพิ่งให้ เก็บตากไว้อย่างนั้นน่ะ อย่าไปแตะ ตากไว้ถึง ๗ วัน พอถึง ๗ วันแล้วเล็นมันหมดอายุขัยมั นตายไป นี่ไง อยู่ด้วยความสุข

 

เขาบวชเป็นพระนะ บวชเป็นพระได้สร้างบุญกุศลนะ ได้ภาวนานะ แต่ด้วยความยึดติด ยึดติดของมัน ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น เป็นเล็นเพราะอะไร เพราะจิตมันไปสำคัญอยู่ในจีวรนั้น ก็ไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าอยู่จีวรนั้น พออยู่ไป ๗ วัน พอหมดอายุขัยแล้วตายไป ตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์ไปเพราะบุญกุศลมันส่งไป แต่ถ้าเราไปหยิบไปแจกกัน เขาจะโกรธ นี่ไง ความโกรธ ความอาฆาตมาดร้าย จิตที่มันหนักหน่วง มันจะตกนรกอเวจีเลยนะ ทั้งๆ ที่สร้างบุญกุศลมาขนาดไหนก็แล้วแต่ นี่ความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

 

นี่ไง เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์เรื่องหนึ่งนะ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็มืดบอด มืดบอดเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาแล้วก็พยายามสร้างสมบุญคุณงามความดีกัน การสร้างสมคุณงามความดีกันนั้นเป็นพันธุกรรมของจิตๆ เวลาตัดแต่งจิตให้มันดีขึ้น ตัดแต่งจิตให้มันมีมาตรฐานขึ้น ตัดแต่งจิตให้มั่นคงขึ้น ตัดแต่งจิตให้มันฉลาดขึ้น มันฉลาดขึ้น ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย ย้ำคิดย้ำทำๆ มันก็พัฒนาของมันขึ้นแต่ละภพแต่ละชาติ นี่ไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย นี่ไง

 

แต่เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสอน เราเกิดเป็นมนุษย์นะ มีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะความเกิดเป็นมนุษย์นี่ เพราะความเกิดเป็นมนุษย์มันมีทุกอย่าง ถ้าการเกิดเป็นมนุษย์มีวาสนา มีอำนาจวาสนาบารมี จะทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทั้งนั้น ประสบความสำเร็จ ใครเป็นคนประสบความสำเร็จ ก็มนุษย์นั้นเป็นคนประสบความสำเร็จ ถ้าใครทำความชั่วร้าย ความชั่วร้ายก็เกิดกับมนุษย์นั้น นี่ไง มนุษย์นั้นมีคุณค่า

 

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เวลาได้พระอรหันต์มา ๖๑ องค์ “เธอกับเราพ้นบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

 

บ่วงที่เป็นโลก ชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณ เกียรติศัพท์สิ่งต่างๆ เธอพ้นแล้ว พ้นเพราะอะไร พ้นเพราะใจมันสูงส่ง พ้นเพราะใจมันเป็นธรรมไง เพราะถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คุณธรรม คุณค่าของธรรมนั้นมันเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือทุกๆ อย่าง ไม่มีติด

 

ผลที่เป็นทิพย์ เป็นทิพย์ สิ่งที่เกิดแล้วเป็นทิพย์ นี่ไง “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์” แล้วพ้นอย่างไรล่ะ การจะพ้นนั้นพ้นด้วยการประพฤติปฏิบัติ นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมด้วยอาสวักขยญาณ ญาณที่ชำระอาสวักขัย ชำระอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่ชำระอาสวักขัยในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมรรค ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา มรรค ๘

 

คำว่า “มรรค ๘” มีการกระทำขึ้นมา ทำตรงไหน บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติตั้งแต่พระเวสสันดรไปไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วถ้าดึงกลับมาเป็นจุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณถ้ายังไม่สิ้น ยังชำระกิเลสไม่ได้ จะไปเกิดในอนาคตข้างหน้า นี่ผลของวัฏฏะ

 

ดึงกลับมา พอดึงกลับมา อาสวักขยญาณ ทำลายในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไม่มีตัวกู ของกู และไม่มีกู ทำลายที่กูนี่ กูได้ทำลายแล้ว ไม่มีกู

 

แต่ผู้ที่ไม่เป็นสอน เห็นไหม “ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู”

 

นั่นแหละคือกู กูเพราะอะไร นี่ไง ในสังโยชน์เบื้องบนนะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

 

ทีนี้คำว่า “อวิชชา” อวิชชาคือความไม่รู้ ถ้าความไม่รู้นะ เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

 

สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

 

ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

 

แล้วถ้ามันไม่สำคัญ มันมีไหม ถ้าไม่สำคัญ มันพูดได้ไหม ถ้ามันยังพูดได้ มีตัวตนอยู่ ตัวตนทำลายได้ไหม เพราะอะไร ไอ้นั่นปรัชญาทั้งนั้นน่ะ นั่นคือคำสอน

 

คำสอนนะ เวลาคำสอนของมหายาน เขาไม่ยึดติดๆ การไม่ยึดติดของเขา เขานั่งกันทีหนึ่ง ๗ วัน ๘ วันนะ โศลกของเขา ดูสิ ดูเว่ยหล่างเขาจะผ่านของเขามา เวลาเขาบอกว่าเขาปล่อยวางๆ แต่ในการปฏิบัติของมหายานเขาปฏิบัติเข้มข้นกว่าเรามากเลย แต่พวกเรามันขี้กลาก อยากจะเป็นเหมือนเขา นั่นก็ปล่อยวาง นี่ก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่น ไม่ใช่กู ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู...กูล้นฟ้า ตัวกูนั่นน่ะสำคัญนัก

 

คนเรานะ ติดดี คนดีนะ เราไปติเตียนว่าคนนั้นเป็นคนดี แล้วคนดีที่มีอำนาจ เราไปบอกเขาว่าเขาผิดพลาดนะ โอ้โฮ! มึงหัวขาด ติดดีนี่ แล้วติดว่าไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู ใครจะมาว่ากูไม่ได้

 

ไม่ใช่ของกูอย่าเผลอนะ เผลอกูมับ! เลย ไม่ใช่ของกู ใครอย่าติกูนะ ไม่ใช่ของกู ใครอย่ามองหน้ากูนะ ไม่ใช่ของกู นี่ไง มันเป็นปรัญชา เหมือนเรา เราประพฤติปฏิบัติกัน เราไปศึกษาว่าเราเข้าใจธรรมะๆ แล้วเราก็พยายามทำใจให้เราเป็นอย่างนั้น โอ้โฮ! ประเสริฐเลอเลิศ

 

ติดดีและติดชั่ว เวลาติดดีนี่ติดไปหมดเลย ติดดีไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ประเสริฐมากๆ ประเสริฐแล้วมันต้องทำให้ได้รู้จริง เวลารู้จริงขึ้นมาแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา สูงสุดสู่สามัญ เวลาข้าวเต็มรวงนะ มันยังน้อมลงต่ำ คนที่เขารู้นี่เงียบกริบ

 

ในมหายานเหมือนกัน เวลาเขาไปถามอาจารย์เขา เวลาเขาไปรายงานผลการปฏิบัติ ถ้ายังแจ้วๆๆ อยู่ ท่านก็เฉยๆ แต่เวลาท่านถามว่านิพพานคืออะไร

 

พระเขาจะลุกขึ้นยืน แล้วก็เม้มริมฝีปาก แล้วก็นั่งลง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่มีคำพูด ไม่มีการแสดงกิริยา ไม่แสดงออก แต่เราว่าไอ้นั่นมันขอนไม้หรือป่าววะ มันไม่พูดสักคำเลย มันจะรู้ได้อย่างไรล่ะ มันไม่พูดอะไรเลย

 

คำว่า “ไม่พูดอะไรเลย” มันระแวง มันระวัง ถ้าคำพูดมันยังห่วงอยู่นะ กลัวเขาจะไม่เชื่อ กลัวเขาจะร้อยแปด นี่ไง ไม่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ ถ้ามันพ้นไปแล้ว มันเป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริง แล้วผู้ที่เขาตอบจริง ถ้ามันไม่มี มันไม่พูดเลย

 

แต่ถ้าไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่ใช่กูนี่นะ โอ้โฮ! ใครๆ ก็พูดได้ เด็กมันก็พูดได้ นกแก้วนกขุนทองก็พูดได้ สอนให้มันพูดสิ สอนให้นกแก้วมันพูดสิ “ไม่ใช่กู ไม่ใช่กู” นกแก้วมันก็พูดได้

 

นี่ไง ถ้ามันจะเป็นจริงๆ นะ มันต้องทำสัมมาสมาธิเข้ามาก่อน นั่นคือตัวกู เวลาจิตสงบแล้ว นั่นคือตัวของตน นั่นน่ะสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามันจะทำลายตัวกู ของกู

 

เวลาทางโลกๆ เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งแปรสภาพทั้งนั้น วัตถุธาตุทุกอย่างไม่มีสิ่งใดคงที่ ชีวิตเรามันก็เป็นอนิจจังทั้งนั้น สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง เป็นวัตถุธาตุที่เราจับต้องได้ ถ้าจับต้องได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เรามองไปแล้ว ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน มันไม่มีอะไรแน่นอนทั้งสิ้น มันเป็นกรรมของสัตว์ไง สัตว์เวลามันมีปัญหาของมันไป มันตกวาระของมัน วาระของกรรมๆ ไง นี่เรื่องของกรรมทั้งนั้นน่ะ เป็นเรื่องของวัตถุ

 

วัตถุเข้าถึงธรรมไม่ได้ เวลาจะเข้าถึงธรรมๆ คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ร่างกายนี้เป็นวัตถุธาตุ เวลาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไง เวลามีขันธ์ ๕ ขึ้นมา ขันธ์ ๕ ห่อหุ้มจิตไง ขันธ์ ๕ คือเกิดอวิชชาไง

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระภิกษุทั้งหลาย “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” เห็นไหม พิจารณาสังขาร สังขารร่างกายและจิตใจไง จิตใจก็สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งนี่ไง ให้พิจารณาตรงนี้ไง แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ เวลาพิจารณา นี่ก็เป็นตำราอีก “สังขารเป็นอย่างนั้น” โอ้โฮ! เราเห็นนะ ในทีวี “อู้ฮู! รูปเป็นอย่างนั้น สัญญาเป็นอย่างนั้น สังขารเป็นอย่างนั้น”

 

ไม่เคยรู้เคยเห็นมันพูดเป็นวิทยาศาสตร์ ตอนนี้การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เจริญนะ คอมพิวเตอร์ ทุกคนเอามาเทียบถึงธรรมะทั้งนั้นน่ะ โปรแกรมนี้เขียนอย่างไร มันฉลาดหรือมันโง่ไง ถ้ามันเขียนแล้วมันฉลาด มันจะใช้งานได้ละเอียดหน่อย ถ้ามันโง่ ข้อมูลมันน้อย มันโง่ คอมพิวเตอร์ยังมีโง่มีฉลาดเลย เวลามันโง่มันฉลาดก็อธิบายไง ถ้าอธิบายมันก็เป็นทฤษฎี มันส่งออก มึงเคยเห็นจิตมึงไหม มึงเคยรู้จักจิตมึงไหม ถ้ามึงไม่เคยเห็นจิต มึงไม่เคยรู้จักจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอ็งจะเข้าสู่ธรรมไม่ได้

 

ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา นี่ไง เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด เธอจงพิจารณาของมัน พิจารณาของมัน แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ

 

พิจารณา เห็นไหม โอ๋ย! ทฤษฎี นั่นน่ะอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เราพยายามสร้างเป็นวัตถุธาตุ สร้างเป็นวัตถุที่จับต้องได้ มันเป็นอนิจจังๆ นะ แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรลักษณะ เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างไร

 

เวลาความคิดเกิดขึ้นแล้วมันดับไป เห็นความเกิดดับ แล้วเกิดดับที่ไหนล่ะ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกหรือ เห็นนาฬิกามันเดินใช่ไหม นั่นมันเกี่ยวอะไรกับเรา มันเกี่ยวอะไรกับกิเลสของมึง มันเกี่ยวอะไรกับตัวกู มันเกี่ยวอะไรกับของกู มันมีกูไหม มันไม่มีกูเลย ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู นั่นแหละคือกู นั่นแหละคือกูแท้ๆ เลย

 

แต่ถ้าเป็นจริงๆ มันจะพิจารณาของมัน ถ้าจิตสงบแล้ว คนที่ภาวนาเป็น คนตั้งแต่ยกขึ้นโสดาปัตติมรรค คำว่า “โสดาปัตติมรรค” เขาจะเห็นเลยว่าสมาธิเป็นอย่างนี้ ปัญญาจะเป็นอย่างนี้ ปัญญากับสมาธิไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ถ้าไม่มีสมาธิ เราจะเกิดอย่างนี้ไม่ได้ เราจะมาเกิดปัญญาอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเราจะเกิดปัญญาอย่างนี้ได้มันต้องเกิดสัมมาสมาธิ

 

สมาธิคืออะไร คือตัวกูไง ตัวกูนั่นแหละคือสมาธิ ตัวตน ถ้าตัวตน สิ่งที่ความคิดเกิดดับเกิดบนตัวตนนั้น ถ้าเกิดบนตัวตนนั้น ตัวตนนั้นมันสงบแล้วตัวตนนั้น จิตเห็นอาการของจิตไง ตัวกูเห็นสิ่งที่เกิดจากกูไง ถ้าตัวกูเห็นสิ่งที่เกิดจากกู แล้วกูจะพิจารณาสิ่งที่เกิดจากกู สิ่งที่เกิดจากมารไง เวลามารมันเกิดขึ้น มันพิจารณานั่นน่ะ ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงๆ อย่างนั้น ถ้าคนที่มันเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจากจิต พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น

 

เวลาในทางวัฒนธรรมประเพณีนะ ทุกคนก็อยากส่งเสริมนะ เราเห็นมากเลย เราเห็นแล้วเราเศร้า มีคนเยอะมากไปพิมพ์หนังสือเป็นอสุภะ แล้วก็อย่างที่ว่าเอากระดงกระดูกไปแขวนไว้ตามวัดๆ นั่นน่ะ มันเป็นวัตถุทั้งนั้นน่ะ มันเป็นข้างนอก ไม่มีข้างในหรอก

 

เวลาเขาไปเที่ยวป่าช้าๆ เวลาในอภิธรรมนะ เวลาให้ไปเที่ยวป่าช้า เวลาป่าช้านะ ก่อนไปให้แจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านก่อน ในสมัยโบราณนะ เพราะถ้าเราไม่แจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน เกิดถ้ามีการฆาตกรรม มีสิ่งต่างๆ เขาจะโทษว่าพระเป็นคนทำ

 

ในอภิธรรมจะสอนไว้เลยนะ ก่อนจะไปไหน ถ้าเป็นไปได้นะ เราไปวิเวกที่ไหน กำนันผู้ใหญ่บ้านเขาจะรู้ว่าพระจะมา ถ้าพระจะมา พระจะไปเที่ยวป่าช้าก็บอกเขา ถ้าบอกเขาเสร็จแล้ว เพราะอะไร เพราะถ้ามันเกิดคดีอาญาขึ้นมา เราจะไม่เข้าไปพัวพัน

 

แล้วเวลาเข้าก็เข้าไปเหนือลม พอเข้าไปเหนือลม เข้าไปยืนด้วยสติสัมปชัญญะนะ แล้วมองภาพนั้น แล้วหลับตา ถ้ามองภาพนั้นแล้วหลับตา ถ้าหลับตาแล้วภาพนั้นติดอยู่ในหัวใจ ให้กลับไปที่อยู่ของตน ให้กลับไปที่อยู่แล้วเอาภาพนั้นขยาย

 

เห็นไหม เขาไปดูซากศพนั่นน่ะ ไปดูก็ส่วนไปดู ไปดูเพราะไม่เคยเห็น ไปดูแล้วให้มันสังเวช นี่มรณานุสติไง ถ้าสังเวชแล้ว ถ้าจิตมันสงบแล้ว ให้ดูแล้ว เขาไม่ใช่ให้ไปดูแบบกล้องถ่ายรูป ไปดูเฉยๆ

 

เขาไปดู หลับตา ลืมตา เห็นภาพนั้น แล้วหลับตาลง ภาพนั้นมีอยู่หรือไม่ ถ้าภาพนั้นมีอยู่ให้กลับ นี่ไง จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตมันเห็นกายมันถึงเห็นภาพนั้น เห็นภาพนั้นคือเห็นกายไง ถ้าเห็นกาย นี่ไง ถ้าจะเป็นไตรลักษณ์ๆ มันจะเกิดจากข้างใน เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นไหม มันทรงได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าเวลาพิจารณาของเรา เวลาใช้ปัญญาพิจารณา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น ที่เป็นอนัตตา อนัตตาอย่างไร ระหว่างอนิจจังกับอนัตตา

 

อนิจจังเป็นเรื่องส่วนหนึ่งนะ อนิจจังเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ เรื่องของปุถุชนที่จับต้องได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง

 

แต่ถ้าเป็นอนัตตาๆ ไม่มีใครเคยรู้เคยเห็น เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์ไม่รู้ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ที่มา ถ้าไม่รู้ที่มา ไม่รู้จักที่มา ไม่รู้จักที่มันเป็นไป มันจะไปรู้ที่มา ท่ามกลาง และที่สุดได้อย่างไร

 

ท่ามกลาง พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วมันปล่อย มันปล่อยอย่างไร เวลามันปล่อย เวลามันขาด ขาดอย่างไร เวลามันขาด เวลามันสิ้นสุด อกุปปธรรม อกุปปธรรมที่มันเป็นจริง แล้วมันเป็นจริง โสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ ยังมีตัวกูของกูนะ สกิทาคามี อนาคามี

 

อนาคามีไม่เกิดในกามภพตั้งแต่เทวดาลงมา อนาคามีไปเกิดบนพรหมเท่านั้น ก็ยังมีตัวกูอีก ก็ยังมีตัวกู แต่เบาบางมาก แต่เบาบางมากก็ยังมี ถ้ามันมีตัวกูอันนั้นน่ะสำคัญมาก แล้วไม่รู้ไม่เห็นด้วย

 

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้รู้จักไหม รู้จักหรือป่าว

 

เวลาเขาพูดติเตียนพระกรรมฐานนะ “ไม่มีการศึกษา กายนอก กายใน กายในกาย มันพูดวกวน บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ก็พูดซ้ำๆ ซากๆ วนอยู่อย่างนั้นน่ะ ไปไม่ไป วนอยู่ในอ่าง ไม่สามารถออกไปสู่สัจจะความจริงได้ ไม่มีการศึกษา พวกนี้พวกโง่เง่าเต่าตุ่น พวกฉัน โอ้โฮ! ปัญญาเลอเลิศ”...โกหกทั้งนั้นน่ะ

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เอ็งไปศึกษามา เราเป็นสาวกสาวกะต้องได้ยินได้ฟังนะ ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีวัฒนธรรมประเพณี มนุษย์ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะบวชเป็นพระไหม ไม่มีร่องรอยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะประพฤติปฏิบัติกันได้หรือไม่ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจน ไปจำมา แล้วก็มาเกลา มาอ้างอิงว่า มีความรู้ เป็นความรู้ของตน ไร้สาระมากเลย

 

ความรู้โดยการจำ ความรู้โดยสัญญา แล้วกิเลสมันพลิกแพงนะ ติดดี ข้านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ รู้มาก มีความรู้รองจากพระพุทธเจ้า คุ้มครองดูแลธรรมะของพระพุทธเจ้า สุดยอด...ติดดี ไม่มีดีจริงเลย ภาวนาไม่เป็น ไม่เคยภาวนา ไม่รู้จักอะไรเป็นตน เป็นตัวเป็นตน ไม่รู้จักอะไรเป็นฐาน ไม่รู้จักอะไรเป็นสิ่งที่เป็นแดนเกิด ไม่รู้ที่เกิดที่ดับ ไม่มีที่มาที่ไป แต่พูดธรรมะนะ เจื้อยแจ้วเลย “ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู” นั่นแหละกู กูเต็มๆ เลย เพราะกูพูด ถ้ากูพูดน่ะ ถ้าไม่พูด มาจากไหน ไม่อ้าปาก มาจากไหน ไม่มีจิตมันจะมีความคิดออกมาหรือ ไม่มีความคิด โอ้โฮ! ฉะนั้น ไอ้นี่มันเป็นโวหาร เป็นโวหารในสังคมสังคมหนึ่ง

 

แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านฟังแล้วท่านสังเวช แต่มันเป็นกระแสสังคม กระแสโลก กระแสโลกเป็นเรื่องของโลกนะ แล้วพูดไป หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ เราพูดกันไป พระอย่าทะเลาะกัน พระอย่าทะเลาะกัน

 

พระที่ไหนเขาทะเลาะกัน กรรมฐานเขาทะเลาะกับกิเลส กิเลสที่มาอมธรรมะ กิเลสที่มาควบคุม พระกรรมฐานเขาพยายามเลาะกิเลสออกจากสัจธรรม เวลากิเลสเข้ามาต้องยันมันออกไป ไม่ใช่ทะเลาะกัน มันเป็นถูกและผิด กิเลสกับธรรม ไม่ใช่ทะเลาะกัน แต่เวลาพูด “พระอย่าทะเลาะกัน พระอย่าทะเลาะกัน เราจะมีความผิด คิดเห็นผิด เราจะมีความรู้ผิด เราจะมีมุมมองผิดก็ไม่เป็นไร อย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน”

 

แต่พระกรรมฐานไม่ใช่อย่างนั้น พระกรรมฐานผิดถูกเขาพูดกันภายในนะ แล้วมันรู้กันอยู่ภายใน เพราะกระแสสังคม แบบว่าเด็กน้อยจะรับรู้ธรรมะลึกซึ้งไม่ได้ คนที่ไม่มีกำลัง เราไม่ต้องไปสอนเขา แต่คนที่มีกำลัง คนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามันเป็นจริงนะ อยากรู้อยากเห็นขนาดไหนก็แล้วแต่ พื้นฐานไม่มี ฟังไม่เข้าใจหรอก ฟังแล้วมันก็ตีความว่าเหมือนกันๆ เหมือนกันจนเข้าใจผิด เข้าใจผิดกันไปทั้งนั้น เข้าใจผิดมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง

 

แต่ถ้าเขามีวาสนา มีครูบาอาจารย์แสดงธรรมนะ มันสะกิดใจนะ เราประพฤติปฏิบัติอยู่ เอ๊ะ! ทำไมมันไม่เหมือนเรา เอ๊ะ! ไอ้นี่มันผิดอย่างไร เอ๊ะ! ถ้าเอ๊ะ! แล้ว เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! เราต้องไตร่ตรองแล้ว เอ๊ะ! ต้องตรวจสอบแล้ว เอ๊ะ! ต้องพิจารณาแล้วว่าจริงหรือไม่จริง เพราะเราต้องการความจริง เราต้องการพระพุทธศาสนาที่แท้จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นไตรสรณคมน์ของชาวพุทธเรา เอวัง